เจาะลึก Core Services ของ AWS Cloud ทั้ง 6 กลุ่มหลัก พร้อมตัวอย่างการใช้งาน

Facebook
Twitter
LinkedIn

เจาะลึก Core Services ของ AWS Cloud ทั้ง 6 กลุ่มหลัก พร้อมตัวอย่างการใช้งานแบบเข้าใจง่าย 

ในวันที่การทำธุรกิจต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความเร็ว และความปลอดภัย “ระบบคลาวด์” ไม่ได้เป็นเพียงคำยอดฮิตอีกต่อไป แต่กลายเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรแบบยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์ที่ทั่วโลกไว้วางใจมากที่สุดก็คือ AWS (Amazon Web Services) 

บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Core Services หรือบริการหลักที่เป็นหัวใจของ AWS Cloud ทั้ง 6 กลุ่ม โดยจะอธิบายอย่างละเอียดว่ากลุ่มบริการแต่ละกลุ่มคืออะไร ใช้ทำอะไร และจะช่วยธุรกิจของคุณให้ขับเคลื่อนไปได้ไวขึ้น แข็งแรงขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นอย่างไร 

AWS Cloud หรือ Amazon Web Services คือบริการ Cloud Computing ระดับโลกที่เปิดให้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งระบบเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร ไม่ต้องดูแลตู้ Server, ระบบเครือข่าย หรือ Infrastructure อื่น ๆ ด้วยตัวเองอีกต่อไป เพราะ AWS ได้จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมใช้แล้วในรูปแบบ “บริการ” 

พูดง่าย ๆ คือ จากที่คุณเคยต้องลงทุนซื้อเครื่อง จัดการระบบ ติดตั้ง และดูแลเองทั้งหมด ตอนนี้คุณสามารถเช่าใช้ทุกอย่างเหล่านี้จาก AWS ได้ทันที จ่ายเฉพาะที่ใช้ ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง และขยายระบบตามความต้องการได้แบบไม่ต้องเริ่มใหม่ทุกครั้ง 

 

Core Service ของ AWS Cloud มีทั้งหมด 6 กลุ่มหลัก ได้แก่: 

  1. Compute 
  2. Networking and Content Delivery 
  3. Storage 
  4. Database 
  5. Security, Identity and Compliance 
  6. Management and Governance 
  1. Compute: พลังสมองของคลาวด์ ที่ขับเคลื่อนระบบของคุณ

Compute คือบริการที่เกี่ยวข้องกับ “การประมวลผล” หรือพูดง่าย ๆ คือกลุ่มที่ทำให้ระบบงาน แอปพลิเคชัน หรือบริการดิจิทัลของคุณทำงานได้จริง บริการสำหรับการประมวลผลที่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ที่คุณสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบภายในองค์กร สามารถทำงานได้จริงบนคลาวด์ โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เช่น: 

  • Amazon EC2: สร้างเครื่อง Virtual Machine ที่ใช้รันเว็บไซต์, ระบบ ERP, หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ 
  • AWS Lambda: บริการในกลุ่ม Compute ของ AWS ที่ให้คุณสามารถรันโค้ดได้โดยไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์เองเลย หรือที่เรียกว่า Serverless Computing คุณเพียงแต่เขียนโค้ด, อัปโหลดขึ้น Lambda, และตั้งค่าให้มันทำงานเมื่อมี event บางอย่างเกิดขึ้น เช่น การอัปโหลดไฟล์เข้า S3, การเรียก API, หรือการเปลี่ยนแปลงในฐานข้อมูล เหมาะกับระบบทุกขนาด ตั้งแต่ทดลองเล็ก ๆ ไปจนถึง AI Model ระดับองค์กร 

จุดเด่นของ AWS Compute 

บริการกลุ่ม Compute ของ AWS คือกลไกหลักที่ทำให้ทุกอย่าง “เริ่มทำงานได้จริง” ตั้งแต่เว็บไซต์เล็ก ๆ ไปจนถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการรันแอปพลิเคชัน การประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบยืดหยุ่น AWS Compute คือพื้นที่ที่รองรับทุกความคิดสร้างสรรค์ และแปลงมันให้กลายเป็นระบบที่พร้อมใช้งานจริง 

จุดเด่นที่ทำให้ AWS Compute เหนือกว่า: 

  • มีความยืดหยุ่นสูง: เลือกได้ว่าจะใช้แบบ EC2 (ควบคุมเองเต็มที่) หรือ Lambda (ไม่ต้องจัดการ Server เลย) 
  • ปรับขยายตามต้องการ: ปรับขนาดขึ้นหรือลงแบบอัตโนมัติ รับมือกับยอดใช้งานที่เพิ่มขึ้นทันที โดยไม่ต้องสั่งซื้อเครื่องใหม่ล่วงหน้า 
  • มีหลากหลายทางเลือก: มีรุ่นของเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกทั้งแบบทั่วไป ความแรงสูง ราคาประหยัด หรือรองรับ AI โดยเฉพาะ 
  • ช่วยควบคุมต้นทุนได้: เลือกจ่ายแบบ On-Demand, Reserved หรือ Spot Instance ตามงบและลักษณะงาน 
  • พร้อมให้คุณเริ่มใช้งานได้จากทั่วโลก: จะเปิดระบบในไทย สิงคโปร์ หรือยุโรป ก็ทำได้ภายในไม่กี่นาที โดยใช้ Template เดียวกัน 

ควรใช้ AWS Compute เมื่อใด? 

  • เมื่อคุณต้องการเปิดเว็บไซต์หรือแอปที่ต้องการ uptime สูง และ scale ได้ตาม traffic 
  • เมื่อคุณกำลังพัฒนาระบบใหม่และอยากเริ่มต้นแบบรวดเร็ว โดยไม่ต้องติดตั้งเครื่องเอง 
  • เมื่อคุณมี workload ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น Flash Sale, แคมเปญออนไลน์ หรือวันสิ้นเดือน 
  • เมื่อคุณต้องการทดลองหรือทดสอบระบบ (Dev/Test) โดยไม่อยากลงทุนกับฮาร์ดแวร์ 
  • เมื่อคุณต้องการควบคุมต้นทุนของระบบประมวลผลให้เหมาะกับลักษณะธุรกิจ — ใช้เท่าไรจ่ายเท่านั้น 

 

  1. Networking and Content Delivery: เส้นทางการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียร

กลุ่มบริการนี้คือเส้นเลือดใหญ่ของระบบคลาวด์ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ AWS ทั่วโลกให้ไหลลื่น ปลอดภัย และเข้าถึงได้เร็วที่สุด ไม่ว่าผู้ใช้งานของคุณจะอยู่ที่กรุงเทพฯ, โตเกียว, นิวยอร์ก หรือยุโรปก็ตาม 

ตัวอย่างบริการหลัก: 

  • Elastic Load Balancing (ELB): ช่วยกระจายโหลดของผู้ใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายตัวแบบอัตโนมัติ เช่น ถ้ามี 3 เครื่อง EC2 แล้วเครื่องใดเครื่องหนึ่งโหลดหนัก ELB จะช่วยกระจายงานให้สมดุล ทำให้ระบบเสถียร ไม่ล่มง่าย 
  • Amazon CloudFront: เป็นบริการ Content Delivery Network (CDN) ที่ช่วยส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้ปลายทางจากจุดที่ใกล้ที่สุด ลดเวลาโหลดหน้าเว็บ วิดีโอ หรือแอปพลิเคชันลงได้มหาศาล 
  • Amazon Route 53: บริการ DNS ที่ช่วยให้การค้นหาเว็บไซต์หรือระบบของคุณเร็วและมีความน่าเชื่อถือ พร้อมรองรับการตั้งค่าแบบ Failover หรือ Geo-based routing 

จุดเด่นของกลุ่ม Networking: 

  • ลด Latency: ผู้ใช้เปิดหน้าเว็บหรือใช้งานแอปได้เร็วขึ้น แม้อยู่คนละซีกโลก 
  • เพิ่มความเสถียร: หากเซิร์ฟเวอร์ตัวหนึ่งล่ม ระบบจะโยกผู้ใช้ไปอีกเครื่องได้แบบ seamless 
  • ขยายระบบง่าย: รองรับการเปิดให้บริการในหลายประเทศได้แบบไม่มีสะดุด 
  • มีความปลอดภัย: รองรับการเข้ารหัสข้อมูลและเชื่อมต่อผ่าน HTTPS, TLS โดยมาตรฐาน 

ควรใช้เมื่อใด? 

  • เมื่อคุณมีระบบที่มีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก (เช่น เว็บ eCommerce, เกมออนไลน์) 
  • เมื่อคุณต้องการให้บริการที่โหลดเร็วเท่ากันไม่ว่าจะใช้งานจากประเทศไหน 
  • เมื่อคุณต้องการให้ระบบมี High Availability และ Fault Tolerance 
  • เมื่อคุณต้องการควบคุมเส้นทางการเข้าถึงข้อมูล เช่น ส่งผู้ใช้ในเอเชียไปยังศูนย์ข้อมูลสิงคโปร์ 

หาก Compute คือ “สมอง” ของระบบ Networking ก็คือ “เส้นเลือด” ที่ส่งทุกอย่างให้ถึงมือผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง 

  1. Storage: ที่เก็บข้อมูลดิจิทัลทุกประเภท ทั้งเล็ก ใหญ่ หรือระยะยาว

คลังจัดเก็บข้อมูลคือสิ่งสำคัญที่สุดอันดับต้น ๆ ของระบบไอที และ AWS ก็มีบริการจัดเก็บข้อมูลที่ออกแบบมาให้ยืดหยุ่น ปลอดภัย และขยายได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ เอกสาร รายงานธุรกรรม หรือแม้แต่ไฟล์ Log จากแอปพลิเคชัน ข้อมูลทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทรัพย์สินทางดิจิทัลที่ต้องได้รับการจัดเก็บอย่างปลอดภัย เข้าถึงได้ง่าย และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ AWS จึงออกแบบบริการกลุ่ม Storage ให้รองรับได้ทั้งข้อมูลขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ไปจนถึงข้อมูลที่ต้องเก็บไว้หลายปีเพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง 

ตัวอย่างบริการที่ใช้กันบ่อย: 

  • Amazon S3 (Simple Storage Service): เป็นบริการจัดเก็บข้อมูลแบบ Object Storage ที่ยืดหยุ่นสูงมาก เหมาะกับการจัดเก็บไฟล์ทุกประเภท เช่น รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร PDF หรือ Log จากแอป โดยสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง, ตั้งเวลาเก็บข้อมูล, เปิด versioning และใช้ร่วมกับบริการอื่นได้อย่างไร้รอยต่อ ใช้งานได้ตั้งแต่เก็บไฟล์ Static ไปจนถึงการเป็น Data Lake ขนาดใหญ่ 
  • Amazon EBS (Elastic Block Store): เป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ใช้คู่กับ EC2 เหมือนฮาร์ดดิสก์ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เหมาะกับระบบปฏิบัติการ ฐานข้อมูล หรือแอปที่ต้องการการอ่าน/เขียนข้อมูลเร็วมากและต่อเนื่อง ใช้กับระบบ Production, Database หรือ App Server ได้ดี 
  • Amazon Glacier (หรือ S3 Glacier): สำหรับเก็บข้อมูลที่ไม่ค่อยได้เรียกใช้งาน เช่น เอกสารบัญชี ข้อมูลภาษี หรือเอกสารทางกฎหมายที่ต้องเก็บระยะยาวหลายปี โดยมีต้นทุนการจัดเก็บต่ำกว่าการเก็บแบบทั่วไปมาก เรียกคืนข้อมูลได้ภายใต้ SLA ที่เลือก เช่น 1–12 ชั่วโมง 

จุดแข็งของ AWS Storage: 

  • ปรับขนาดได้ไม่จำกัดและเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ในโลก พร้อมการสำรองอัตโนมัติ 
  • ควบคุมการเข้าถึงอย่างละเอียด ปลอดภัยระดับองค์กร มีการเข้ารหัส และระบบการจัดการสิทธิ์ 
  • รองรับการทำ Versioning, Backup, Restore, Lifecycle Management รองรับ และ Backup 
  • ใช้งานร่วมกับบริการด้าน Analytics, AI, ML และ BI Tools ได้ทันที 

ควรใช้เมื่อใด? 

  • เมื่อคุณต้องการเก็บไฟล์จากผู้ใช้ เช่น ไฟล์แนบ รูปภาพ วิดีโอ 
  • เมื่อคุณต้องจัดเก็บข้อมูลทางธุรกิจ เช่น เอกสารใบเสร็จ รายงาน Excel ฯลฯ 
  • เมื่อคุณต้องทำ Backup หรือ Disaster Recovery ให้กับระบบสำคัญ 
  • เมื่อคุณต้องเก็บข้อมูลตามข้อบังคับ เช่น PDPA, ISO, หรือกฎหมายสรรพากร 
  • เมื่อคุณต้องการจัดเก็บและเตรียมข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ (Data Lake) 
  1. Database: ฐานข้อมูลที่ดูแลให้คุณครบ ตั้งแต่ติดตั้งถึง Backup

เมื่อพูดถึงระบบใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์ภายในองค์กร ฐานข้อมูลคือหัวใจที่ขาดไม่ได้ เพราะนั่นคือที่เก็บข้อมูลลูกค้า ข้อมูลธุรกรรม หรือแม้แต่การตั้งค่าระบบเบื้องหลัง และ AWS ก็มีบริการจัดการฐานข้อมูลที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่อง ความง่ายในการใช้งาน ความปลอดภัย และความพร้อมใช้งานสูง โดยไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง 

ตัวอย่างบริการที่น่าสนใจ: 

  • Amazon RDS (Relational Database Service): เป็นบริการที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานฐานข้อมูลประเภท SQL เช่น MySQL, PostgreSQL, Oracle, หรือ SQL Server ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งเอง ไม่ต้องดูแลฮาร์ดแวร์ ไม่ต้องคอยสำรองข้อมูล เพราะระบบจะทำให้คุณแบบอัตโนมัติ ทั้งการ Backup, Patching และ Monitoring พร้อมความสามารถในการขยายขนาดฐานข้อมูลได้อย่างลื่นไหล เหมาะสำหรับระบบงานธุรกิจ, ERP, CRM, หรือแอปที่ต้องการความแม่นยำและโครงสร้างข้อมูลแบบชัดเจน 
  • Amazon Aurora: บริการฐานข้อมูลระดับองค์กรที่พัฒนาโดย AWS โดยออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และขยายตัวได้ง่าย แต่ยังคงใช้ภาษาและเครื่องมือเดียวกับ MySQL หรือ PostgreSQL ได้ ทำให้ทีมพัฒนาไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ แต่ได้พลังที่มากกว่าเดิมหลายเท่า 
  • Amazon DynamoDB: เป็นฐานข้อมูลแบบ NoSQL ที่ออกแบบมาให้ เร็วมาก และ ขยายตัวได้ระดับมหาศาล เหมาะสำหรับระบบที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและต้องการประมวลผลแบบ Real-time เช่น แอปพลิเคชันเกม, ระบบ IoT, ระบบสมาชิก, หรือระบบแนะนำสินค้า จุดเด่นคือสามารถรองรับผู้ใช้งานนับล้านรายได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเพื่อ scale ระบบเลย 

เลือกแบบไหนดีกว่ากัน? 

  • ถ้าคุณต้องการโครงสร้างข้อมูลชัดเจน, ต้องการใช้ SQL และต้องการความคุ้นเคย ควรเลือกใช้ RDS 
  • ถ้าคุณต้องการฐานข้อมูลที่ทั้งแรง เสถียร และพร้อมใช้งานตลอดเวลา รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว และต้องการประสิทธิภาพที่สูงกว่า MySQL/PostgreSQL แต่ไม่อยากย้ายไปใช้ฐานข้อมูลใหม่หมด ควรเลือกใช้ Aurora 
  • ถ้าคุณต้องการความเร็ว, รองรับโหลดสูง, ไม่ต้องการโครงสร้างตายตัว ควรเลือกใช้ DynamoDB 

และแน่นอนว่า ทั้งสองบริการนี้ได้รับการดูแลด้าน Security จาก AWS อย่างเข้มงวด รองรับการเข้ารหัส การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง และสามารถเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น Lambda, S3, API Gateway การใช้ฐานข้อมูลก็กลายเป็นเรื่องง่าย ทั้งสำหรับ Developer, ทีม IT และผู้บริหาร ในแบบที่ปลอดภัย ประหยัด และพร้อมต่อการขยายตัวของธุรกิจทุกขนาด 

  1. Security, Identity and Compliance: ตั้งสิทธิ์ ป้องกัน และตรวจสอบ ได้ครบวงจร

ความปลอดภัยของระบบไม่ได้หมายถึงแค่การตั้งรหัสผ่านให้ยาก หรือการติดตั้ง Firewall เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ในยุคที่ทุกอย่างอยู่บนคลาวด์ แต่คำถามสำคัญคือ “ใครเข้าถึงอะไรได้บ้าง?” และ “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลของเราถูกปกป้องตลอดเวลา?” กลุ่มบริการ Security, Identity and Compliance ของ AWS จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณควบคุมทุกมิติของความปลอดภัย ตั้งแต่การพิสูจน์ตัวตน การกำหนดสิทธิ์ ไปจนถึงการตรวจสอบย้อนหลัง 

ตัวอย่างบริการหลัก: 

  • AWS IAM (Identity and Access Management): ให้คุณกำหนดได้อย่างละเอียดว่า User, Group หรือ Role ใดสามารถเข้าถึงบริการหรือข้อมูลไหนในระบบ AWS ได้บ้าง เช่น Developer เห็นเฉพาะ Dev Environment, Finance เข้าถึงแค่รายงานค่าใช้จ่าย 
  • AWS KMS (Key Management Service): บริการจัดการกุญแจเข้ารหัสข้อมูล (encryption keys) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณทั้งใน transit และ at rest จะปลอดภัย 
  • AWS CloudTrail: ติดตามและบันทึกทุกการกระทำในระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเครื่อง การลบข้อมูล หรือการเปลี่ยนสิทธิ์การเข้าถึง — ทุกอย่างมี log ให้ตรวจสอบย้อนหลังได้เสมอ 
  • AWS Config: ช่วยตรวจสอบการตั้งค่าของทรัพยากรในระบบว่าเป็นไปตาม compliance ที่คุณตั้งไว้หรือไม่ เช่น ต้องเปิด Logging หรือห้ามเปิด Public Access 

จุดเด่นของกลุ่มนี้: 

  • ควบคุมการเข้าถึงได้ละเอียดระดับรายบริการ รายทรัพยากร รายผู้ใช้ 
  • รองรับการเข้ารหัสข้อมูลแบบ End-to-End 
  • ตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกการกระทำ พร้อมรายงานความเสี่ยง 
  • รองรับมาตรฐานระดับโลก เช่น ISO 27001, SOC, HIPAA, PDPA 

ควรใช้เมื่อใด? 

  • เมื่อองค์กรของคุณมีหลายทีม หลายบัญชี AWS และต้องการกำหนดสิทธิ์อย่างปลอดภัย 
  • เมื่อคุณต้องเก็บข้อมูลลูกค้า ข้อมูลทางการแพทย์ หรือข้อมูลที่มีข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว 
  • เมื่อคุณต้องผ่านการตรวจสอบ Audit หรือเตรียมพร้อมสำหรับ ISO / PDPA / SOC 
  • เมื่อคุณต้องการระบบที่ตรวจสอบได้ ย้อนดูได้ และป้องกันได้แบบครอบคลุม 
  • พูดง่าย ๆ คือ ถ้า AWS คือบ้านของระบบคุณ กลุ่มบริการ Security, Identity และ Compliance ก็คือรั้วรอบขอบชิดที่ไม่ใช่แค่กันขโมย แต่ยังช่วยให้คุณรู้ว่าใครเดินเข้าประตูมา เมื่อไหร่ และเข้ามาทำอะไร — เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าข้อมูลและระบบทั้งหมดอยู่ในมือที่ปลอดภัย 
  1. Management and Governance: บริหารหลายบัญชี แยกงบ ควบคุมได้จากศูนย์กลาง

สำหรับองค์กรที่ไม่ได้มีแค่หนึ่งระบบ หรือทีมเล็ก ๆ เพียงทีมเดียว แต่มีหลายฝ่าย หลายโปรเจกต์ หลายทีมที่ต้องใช้งาน AWS พร้อมกัน เมื่อจะต้องบริหารจัดการ ทำยังไงให้ชัดเจน ปลอดภัย และไม่ซับซ้อนเกินไป? 

กลุ่ม Management and Governance ของ AWS ถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณสามารถดูแลทุกระบบจากจุดเดียว โดยไม่ลดความยืดหยุ่นในการบริหารแยกตามหน่วยงาน ช่วยให้การใช้งาน AWS ในระดับองค์กรกลายเป็นเรื่องที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และควบคุมงบประมาณได้อย่างแม่นยำ 

ตัวอย่างบริการหลัก: 

  • AWS Organizations: รวมหลายบัญชี AWS ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน คุณสามารถสร้างหน่วยงานแยก เช่น HR, Finance, DevOps และกำหนดนโยบายกลาง (Service Control Policy – SCP) ได้ว่าแต่ละทีมมีสิทธิ์ใช้บริการไหนบ้าง 
  • AWS CloudTrail: ติดตามและบันทึกทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในทุกบัญชี ไม่ว่าจะเป็นใครกดอะไร ลบอะไร เปลี่ยนสิทธิ์เมื่อไร ทุกอย่างถูกรวบรวมไว้ตรวจสอบย้อนหลังได้ 
  • AWS Config: ตรวจสอบการตั้งค่าทรัพยากร เช่น EC2, S3 หรือ IAM ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นบ้าง และแจ้งเตือนหากมีบางอย่างไม่เป็นไปตาม compliance หรือ policy ที่ตั้งไว้ 

จุดเด่นของกลุ่มนี้: 

  • รวมศูนย์การบริหารหลายบัญชี AWS ไว้ภายใต้ “องค์กรเดียว” แบบมีโครงสร้างชัดเจน 
  • กำหนดนโยบายระดับองค์กรได้ เช่น บัญชีทั้งหมดห้ามเปิด S3 Bucket แบบ Public 
  • ตรวจสอบย้อนหลังได้ละเอียด พร้อมรายงาน Audit หรือ Security Review ได้ง่าย 
  • ช่วยจัดกลุ่มงบประมาณ วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายตามหน่วยงานหรือโปรเจกต์ 

ควรใช้เมื่อใด? 

  • เมื่อองค์กรของคุณมีหลายแผนกที่ต้องใช้งาน AWS แต่ต้องการควบคุมจากศูนย์กลาง 
  • เมื่อคุณต้องติดตามต้นทุนของแต่ละทีม เพื่อทำ Budget Planning และ Cost Allocation 
  • เมื่อคุณต้องทำ Security Governance หรือ Compliance ระดับองค์กร 
  • เมื่อคุณต้องการลดความซับซ้อนในการดูแลระบบขนาดใหญ่ 

ถ้า AWS คืออาณาจักรของคุณ กลุ่ม Management and Governance คือแผนที่ ผังเมือง และกล้องวงจรปิด ที่ช่วยให้คุณเห็นทุกมุมชัดเจน บริหารง่าย และปลอดภัยทุกย่างก้าว 

เริ่มต้นคลาวด์อย่างมั่นใจ ต้องเข้าใจ Core Services 

การใช้งาน AWS ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ได้เริ่มจากการเลือกบริการใหม่ล่าสุด หรือการไล่ตามเทคโนโลยีที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่เริ่มจาก “การเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานให้ชัดเจน” เพราะ Core Services ทั้ง 6 กลุ่มของ AWS คือแกนหลักที่รองรับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบที่คุณกำลังสร้างในวันนี้ หรือการขยายตัวของธุรกิจในวันข้างหน้า 

หากคุณต้องการระบบที่สามารถรันแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว มีเสถียรภาพ และพร้อมตอบสนองต่อการใช้งานที่หลากหลาย บริการ Compute คือจุดเริ่มต้นที่ใช่ หากคุณมีข้อมูลมากมายที่ต้องเก็บ ต้องเรียกใช้งาน หรือต้องวิเคราะห์อย่างปลอดภัยและประหยัด Storage ของ AWS คือคำตอบ 

หากคุณกังวลว่าเว็บจะล่มเวลาคนเข้าใช้งานพร้อมกัน Networking จะช่วยกระจายโหลดและรักษาความเสถียรของระบบอย่างชาญฉลาด หากคุณต้องการเก็บหรือเข้าถึงข้อมูลเชิงธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย Database ที่หลากหลายของ AWS ก็พร้อมตอบโจทย์ 

เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง และปกป้องข้อมูลที่สำคัญ Security, Identity และ Compliance จะเป็นเหมือนรั้วเหล็กแน่นหนาที่พร้อมเปิดให้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น และถ้าคุณมีหลายทีม หลายโปรเจกต์ และหลายบัญชี AWS ที่ต้องบริหารพร้อมกัน บริการในกลุ่ม Management and Governance จะช่วยให้คุณควบคุม ดูแล และวางแผนจากศูนย์กลางได้อย่างเป็นระบบ 

ไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นเดินบนเส้นทางคลาวด์ หรือเป็นผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์แล้ว การเข้าใจ Core Services อย่างลึกซึ้งจะทำให้คุณเลือกใช้บริการได้อย่างมั่นใจ ใช้งบได้คุ้มค่า และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจได้กว้างขึ้น 

ทีม Aware พร้อมช่วยคุณวางแผน ออกแบบ และดูแลโซลูชัน AWS อย่างมืออาชีพ เพราะเรารู้ดีว่าการเปลี่ยนผ่านระบบไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการเชื่อมต่อระหว่างความเป็นไปได้ทางธุรกิจ” กับ “เทคโนโลยีที่ใช้ได้จริง” เราพร้อมเดินไปกับคุณทุกขั้น ตั้งแต่การวางแผนต้นทางไปจนถึงการดูแลระยะยาว 

 

ติดต่อเราได้ที่: 

  • โทรศัพท์: 02 619 0226 

Related articles

Contact us

Let's Talk Solutions

Don’t face obstacles alone – tell us about your needs. We’ll listen, suggest options, and together build technology to accomplish your goals.

Guaranteed Follow-Up — Within One Business Day

No chasing. No hassle. It’s easy.

Schedule a Free Consultation
General Form